Ferrari F80: เมื่อตำนานบทใหม่ถือกำเนิดขึ้นในยุคแห่งอนาคต 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่กำลังก้าวเข้าสู่ปี 2025 อย่างเต็มตัว มีเพียงไม่กี่ชื่อที่จะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนและกำหนดนิยามใหม่ให้กับคำว่า “ซูเปอร์คาร์” ได้อย่างแท้จริง และในวันนี้ Ferrari F80 คือผู้เล่นคนล่าสุดที่ไม่ได้แค่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตำนาน แต่กำลังเขียนบทใหม่ที่เข้มข้นและเร้าใจยิ่งกว่าเดิม ด้วยพละกำลังรวมอันมหาศาลถึง 1,200 แรงม้า ระบบขับเคลื่อน V6-Hybrid ขนาด 3.0 ลิตรแบบ 4WD และช่วงล่างที่ถอดแบบมาจากรถแข่งฟอร์มูล่าวัน F80 ไม่ใช่เพียงแค่รถยนต์ แต่มันคือนวัตกรรมที่ไร้ขีดจำกัด เป็นการประกาศถึงยุคใหม่ของ Ferrari ที่ผสมผสานมรดกอันรุ่งโรจน์เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุด และพร้อมที่จะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไร้ข้อกังขา
การกลับมาของ “เบบี๋ F80”: มรดกแห่งความยอดเยี่ยมที่สานต่อ
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานของม้าลำพองจากมาราเนลโล Ferrari ได้สรรสร้างยนตรกรรมที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยมาแล้วนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ 288 GTO ในปี 1984 ที่เปิดโลกของซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริง สู่ F40 ที่เป็นตำนานแห่งความดิบดุ F50 ที่ฉีกกรอบด้วยเทคโนโลยีจาก F1 และ LaFerrari Aperta ในปี 2016 ที่ผสานพลังไฮบริดเข้ากับความเร้าใจได้อย่างลงตัว บัดนี้ในปี 2025 เรามี “เบบี๋ F80” เข้ามาเสริมทัพในตระกูลอันทรงเกียรตินี้ ไม่ใช่แค่การเป็นทายาท แต่ F80 คือจุดสูงสุดของวิวัฒนาการที่รวบรวมเอาองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดที่ Ferrari เคยสร้างสรรค์มารวมไว้ในรถยนต์คันเดียว
F80 ไม่ได้เพียงแค่สร้างมาตรฐานใหม่ด้านนวัตกรรมหรือความเป็นเลิศทางวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดฉากแนวคิดใหม่ในการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงที่ยังคงรักษามนต์เสน่ห์และความบริสุทธิ์ของการขับขี่สไตล์ Ferrari ไว้ได้อย่างครบถ้วน การผลิตจำนวนจำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 4 คันเท่านั้นที่ถูกจัดสรรมายังประเทศไทยและได้ถูกจับจองจนหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของผู้คลั่งไคล้รถยนต์หรูและซูเปอร์คาร์ที่ต้องการครอบครองส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่กำลังถูกจารึกขึ้น
F80 กับร่องรอยแห่งตำนานที่มิอาจลบเลือน
การเดินทางของ Ferrari ในการสร้างสรรค์ซูเปอร์คาร์นั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ตั้งแต่ยุค 80s ที่เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคือหัวใจหลักของรถแข่งฟอร์มูล่าวันและถูกนำมาใช้ในรถยนต์ Road Car อย่าง GTO และ F40 สู่ปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้ก้าวข้ามไปอีกขั้นอย่างก้าวกระโดด ในปี 2025 ทั้งรถแข่งฟอร์มูล่าวันและ World Endurance Championship (WEC) ต่างก็พึ่งพาขุมพลัง V6 เทอร์โบผสานกับระบบไฮบริด 800 โวลต์ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง 499P ที่สร้างชื่อด้วยการคว้าชัยชนะในรายการ 24 Hours of Le Mans ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ความสำเร็จบนสนามแข่งเหล่านี้คือพิมพ์เขียวและห้องทดลองอันล้ำค่าที่นำมาสู่การพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง F80
หัวใจสำคัญของ F80 จึงมิใช่เพียงแค่การนำเอาเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ แต่เป็นการหลอมรวมดีเอ็นเอแห่งการแข่งขันเข้ากับปรัชญาการออกแบบและวิศวกรรมของ Ferrari การใช้โครงสร้างแชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา แอโรไดนามิกที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และช่วงล่างแบบแอคทีฟที่ไม่เคยปรากฏใน Road Car รุ่นใดมาก่อน ทั้งหมดนี้ถูกผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อมอบสมรรถนะที่เร้าใจสูงสุด ในขณะเดียวกันก็ยังคงความสะดวกสบายและความเข้าถึงง่ายในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถทางวิศวกรรมยานยนต์อันเหนือชั้นของ Ferrari
สุนทรียภาพแห่งการออกแบบ: จากสนามแข่งสู่ท้องถนน
งานออกแบบภายนอกของ Ferrari F80 คือผลงานชิ้นเอกที่สร้างสรรค์โดยทีม Ferrari Styling Centre ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ในการเชื่อมโยงดีไซน์ในอดีตเข้ากับอนาคตของ Ferrari ได้อย่างกลมกลืน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือการนำเอาสุนทรียศาสตร์ของรถแข่งฟอร์มูล่าวันมาเป็นแรงบันดาลใจหลัก แม้จะเป็นรถยนต์ 2 ที่นั่ง แต่ F80 ก็สามารถถ่ายทอดประสบการณ์การขับขี่แบบรถแข่งที่นั่งเดี่ยวได้อย่างเต็มเปี่ยม
ทุกส่วนโค้งเว้าและเส้นสายบนตัวถังของ F80 ไม่ได้มีเพียงแค่ความงดงาม แต่ยังเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชันการทำงานด้านอากาศพลศาสตร์ที่ไร้ที่ติ ไฟหน้าถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนภายใต้แถบสีดำบางเฉียบ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นไฟส่องสว่างเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบแอโรไดนามิกที่ช่วยสร้างกระแสลมให้ไหลผ่านตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มองเห็นได้แต่ไกล
ส่วนท้ายของรถที่สั้นกะทัดรัดได้รับการออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ด้วยปีกหลังที่สามารถซ่อนและยกตัวขึ้นได้ตามความเร็วและโหมดการขับขี่ เมื่อปีกหลังถูกยกขึ้น รถจะดูทรงพลังและปราดเปรียวยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสมดุลทางสายตาที่เผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของยนตรกรรมคันนี้ ไฟท้ายถูกติดตั้งในโครงสร้างแบบสองชั้น ประกอบด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์ที่โฉบเฉี่ยวและดุดัน ไม่ว่าปีกหลังจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม
ฟังก์ชันการทำงานที่จำเป็นต่างๆ ได้รับการแก้ไขด้วยการออกแบบ เพื่อสร้างการสื่อสารที่สมบูรณ์แบบระหว่างสมรรถนะและรูปลักษณ์ ช่องแบบ NACA ที่ส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งโดดเด่นและใช้งานได้จริง และยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ที่สุดของด้านข้างอีกด้วย นอกจากนี้ ครีบระบายอากาศ 6 ช่องที่ส่วนหลังของห้องเครื่องยนต์ สำหรับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน สร้างความสัมพันธ์อันน่าทึ่งระหว่างเส้นสายของรูปทรงเรขาคณิตและพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถยนต์ ยิ่งเสริมความรู้สึกถึงเทคโนโลยีและขุมพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน
ห้องโดยสาร: สู่โลกของการขับขี่ที่เหนือกว่า
เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของ Ferrari F80 คุณจะถูกโอบล้อมด้วยบรรยากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากค็อกพิตของรถแข่งที่นั่งเดี่ยวอย่างชัดเจน ภาพลักษณ์ที่ดูคล้ายกับรถแข่งฟอร์มูล่าวันแต่มีหลังคาปิดนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าทุกสิ่ง ค็อกพิตถูกจัดวางในแนวเดียวกับผู้ขับขี่ โอบล้อมแผงควบคุมและมาตรวัดต่างๆ ไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์อย่างสมบูรณ์แบบ
การจัดวางตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คน ที่เยื้องกันในแนวยาว ทำให้สามารถปรับเบาะผู้โดยสารให้ถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับ ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่กะทัดรัด แต่ยังคงความสะดวกสบายและไม่กระทบต่อหลักสรีรศาสตร์ วิธีการนี้ยังช่วยให้ดีไซเนอร์สามารถลดหน้าตัดด้านหน้าของรถ ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์อีกด้วย
พวงมาลัยแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับ F80 คืออีกหนึ่งจุดเด่นที่แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย พร้อมส่วนบนและล่างที่ตัดตรง เพื่อทัศนวิสัยที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและเน้นความรู้สึกสปอร์ตเมื่อขับขี่ ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับให้จับได้กระชับ ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือการนำปุ่มควบคุมแบบดั้งเดิมบนก้านพวงมาลัยด้านขวาและซ้ายกลับมาใช้ แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่ Ferrari ใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะปุ่มกดใช้งานง่ายกว่าและสามารถระบุฟังก์ชันได้ทันทีด้วยการสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูง
ขุมพลัง V6-Hybrid 3.0 ลิตร: หัวใจแห่งอนาคต
ภายใต้ฝากระโปรงหลังของ Ferrari F80 ซ่อนเร้นด้วยหัวใจอันทรงพลังที่สุด นั่นคือเครื่องยนต์สันดาป V6 ขนาด 3.0 ลิตร รหัส F163CF ที่สามารถผลิตพละกำลังมหาศาลถึง 900 แรงม้า ด้วยอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari ที่ 300 แรงม้า/ลิตร นี่คือบทพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน
เครื่องยนต์ V6 นี้ได้รับการถอดแบบโครงสร้างและองค์ประกอบหลายอย่างมาจากรถแข่งรุ่น 499P ซึ่งรวมถึงเสื้อสูบ, เลย์เอาท์, ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง, วงจรทางเดินน้ำมันเครื่องไหลกลับเข้าปั๊ม, ประกับข้อเหวี่ยง, หัวฉีด และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น นอกจากนี้ยังยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ซึ่งมีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิดแบบใหม่ ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด จึงใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB ซึ่งช่วยปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างแท้จริง
F80 ยังนำเอาเทคโนโลยีจากฟอร์มูล่าวันมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งรูปแบบของระบบ MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) ที่พัฒนาเพิ่มเติมจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในรถแข่งฟอร์มูล่าวันของ Ferrari และระบบ MGU-Hs (Motor Generator Unit – Heat) ซึ่งสร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์อันเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย ร่วมกับชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำหนดจังหวะการทำงาน ช่วยปรับอากาศเข้าได้อย่างลงตัวที่สุด ทำให้ไม่มีอาการ Turbo Lag ที่รอบต่ำอย่างที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์เทอร์โบทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น
เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง เครื่องยนต์จึงถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อยกชุดเกียร์ขึ้น ไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ นอกจากนี้ ยังติดตั้งสปริง 2 ชุด ที่ช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แดมเปอร์กันสะบัดถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์นี้ เพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของระบบขับเคลื่อนและโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มากกว่าเดิม
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ในมาราเนลโลทั้งสิ้น ด้วยเป้าหมายสูงสุดคือการเพิ่มสมรรถนะและลดน้ำหนักลง มอเตอร์ทั้งหมด 3 ชุด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลังของรถ) ได้รับการออกแบบโดยอาศัยประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach ซึ่งใช้รูปแบบที่เฉพาะเจาะจงในการจัดวางแม่เหล็กให้สร้างสนามแม่เหล็กได้แรงขึ้น รวมถึงปลอกแม่เหล็กทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่งฟอร์มูล่าวัน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มพละกำลังได้อีกถึง 300 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จึงสามารถผลิตพละกำลังรวมสูงสุดที่ 1,200 แรงม้า ทำให้ F80 เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงที่ไร้เทียมทาน
ข้อมูลทางเทคนิค Ferrari F80: เมื่อตัวเลขสะท้อนความจริงอันน่าทึ่ง
Ferrari F80 คือบทสรุปของความล้ำหน้าทางวิศวกรรม ที่ตัวเลขทางเทคนิคสามารถบอกเล่าเรื่องราวของสมรรถนะอันน่าทึ่งได้เป็นอย่างดี
เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE):
ประเภท: V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump
ความจุกระบอกสูบ: 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดการทำงานสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริดไฟฟ้า:
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลัง (MGU-K):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด: การกู้คืนขณะเบรก: 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า); ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์: 60 กิโลวัตต์ (81 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด (มอเตอร์): 45 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 8.8 กก.
มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า (2 ตัว):
แรงดันไฟฟ้า: 650 – 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (ของมอเตอร์แต่ละตัว): 105 กิโลวัตต์ (142 แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด: 121 นิวตันเมตร
ความเร็วรอบสูงสุด: 30,000 รอบ/นาที
น้ำหนัก: 12.9 กก.
แบตเตอรี่แรงดันสูง:
แรงดันสูงสุด: 860 โวลต์
พลังงานสูงสุด (ชาร์จ/ดิสชาร์จ): 242 กิโลวัตต์
พลังงานไฟฟ้า: 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ค่ากระแสที่กำลังไฟสูงสุด: 350 แอมป์
การให้พลังไฟฟ้า: 6.16 กิโลวัตต์/กก.
น้ำหนัก: 39.3 กก.
สมรรถนะและมิติ:
ระบบส่งกำลังและเกียร์: 8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
พละกำลังรวมสูงสุด: 1,200 แรงม้า (จากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า)
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
ความยาว: 4,840 มม.
ความกว้าง: 2,060 มม.
ความสูง (ในสภาพน้ำหนักรถพร้อมวิ่งได้): 1,138 มม.
ความยาวฐานล้อ: 2,665 มม.
ความกว้างฐานล้อหน้า: 1,701 มม.
ความกว้างฐานล้อหลัง: 1,660 มม.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
น้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ความจุถังน้ำมัน: 63.5 ลิตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระ: 35 ลิตร
ล้อหน้า: 285/30 R20
ล้อหลัง: 345/30 R21
ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของ F80 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่านี่คือซูเปอร์คาร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายทุกสถิติและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร
บทสรุป: Ferrari F80 พลังแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยตำนาน
Ferrari F80 ไม่ใช่แค่ซูเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุด แต่เป็นปฐมบทแห่งดีไซน์ยุคใหม่ของ Ferrari ที่สื่อสารด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์สุดขั้ว สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การนำดีไซน์จากยานอวกาศมาใช้ เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า คือการแสดงออกถึงวิสัยทัศน์ของ Ferrari ในการก้าวข้ามขีดจำกัดของสิ่งที่เป็นไปได้
ในขณะเดียวกัน F80 ก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานไว้ในสายเลือดเช่นเดิม เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต F80 คือยนตรกรรมที่มอบทั้งความตื่นเต้น ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น และความพิเศษที่หาไม่ได้จากที่ใด มันคือภาพสะท้อนของความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุดนิ่งของ Ferrari ในการสร้างสรรค์รถยนต์สมรรถนะสูงที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องจักร แต่เป็นงานศิลปะที่มีชีวิต เป็นประสบการณ์ที่จะถูกจดจำไปตลอดกาล และเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนรักรถทั่วโลก

