Ferrari F80: ตำนานบทใหม่แห่งสมรรถนะเหนือจินตนาการ ด้วยขุมพลังไฮบริด 1,200 แรงม้า และจิตวิญญาณ F1
สวัสดีครับผู้หลงใหลความเร็วและนวัตกรรมยานยนต์ทุกท่าน ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการซูเปอร์คาร์มากว่าทศวรรษ ผมขอยืนยันว่าปี 2025 คือปีแห่งการปฏิวัติครั้งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อม้าลำพองจากมาราเนลโลได้เปิดตัวสุดยอดผลงานชิ้นเอกที่ชื่อว่า Ferrari F80 ยนตรกรรมที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่รถสปอร์ตคันหนึ่ง แต่คือการประกาศศักดาครั้งใหม่ คือจุดบรรจบของเทคโนโลยีขั้นสูงสุดที่ถ่ายทอดจากสนามแข่งสู่ถนน และคือบทพิสูจน์ว่าอนาคตของซูเปอร์คาร์ได้มาถึงแล้ว
การถือกำเนิดของตำนานบทใหม่: Ferrari F80
โลกยานยนต์เคยได้ประจักษ์กับความยิ่งใหญ่ของ Ferrari มาแล้วหลายครั้ง จาก 288 GTO ในยุค 80 สู่ F40 ที่ยังคงเป็นที่ใฝ่ฝันของนักสะสมทั่วโลก และ LaFerrari Aperta ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับไฮเปอร์คาร์ยุคปัจจุบัน และวันนี้ เรากำลังพูดถึง “เบบี๋ F80” ซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดที่ได้เข้ามาเสริมทัพความยิ่งใหญ่เหล่านั้น และพร้อมที่จะจารึกชื่อของตนเองในหน้าประวัติศาสตร์ มันไม่ใช่แค่การสืบทอดมรดก แต่เป็นการยกระดับทุกมิติไปสู่ขั้นสูงสุดเท่าที่เทคโนโลยีปัจจุบันจะเอื้ออำนวย
Ferrari F80 ถูกผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันในจำนวนจำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก และสิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ โควต้า 4 คันที่จัดสรรมายังประเทศไทยนั้น “Sold Out” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่มหาศาล และความเชื่อมั่นที่ผู้คนมีต่อแบรนด์ Ferrari ที่ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเร็ว ศักดิ์ศรี และการลงทุนที่คุ้มค่า นี่คือซูเปอร์คาร์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศทางวิศวกรรม โดยไม่ทิ้งจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari เลยแม้แต่น้อย
ร่องรอยระดับตำนานที่ถูกสานต่อ
นับตั้งแต่ Ferrari เริ่มต้นเปิดตัวซูเปอร์คาร์ในตระกูล Special Series ไม่ว่าจะเป็น 288 GTO ในปี 1984, F40, F50, Enzo Ferrari ไปจนถึง LaFerrari และ LaFerrari Aperta รถยนต์เหล่านี้ล้วนเป็นดั่งประติมากรรมแห่งความเร็ว ที่ไม่เพียงแต่สร้างสถิติและประสิทธิภาพอันน่าทึ่ง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่วิศวกรและนักออกแบบทั่วโลก
สำหรับ F80 นั้น เป็นการนำเอาแก่นแท้ของรถแข่ง Formula 1 และ World Endurance Championship (WEC) มาหลอมรวมเข้ากับความสะดวกสบายของการใช้งานบนถนนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หัวใจสำคัญคือขุมพลัง V6-Hybrid เจเนอเรชั่นล่าสุด ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรถแข่ง 499P ซึ่งคว้าชัยชนะรายการ 24 Hours of Le Mans ได้ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน นั่นหมายความว่า F80 ไม่ได้แค่ “ได้รับแรงบันดาลใจ” แต่ “ใช้เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วในสนามแข่งจริง” มาอยู่ใต้ฝากระโปรงของคุณ
ยุค 80s เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคือขุมพลังหลักของรถแข่ง F1 และซูเปอร์คาร์อย่าง F40 แต่ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงไปสู่เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริด 800 โวลต์ ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโลกมอเตอร์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็น F1 หรือ WEC และ Ferrari ก็ได้นำนวัตกรรมอันล้ำหน้านี้มาสู่ F80 เพื่อให้เป็นซูเปอร์คาร์ Road Car ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ด้วยโครงสร้างแชสซีส์คาร์บอนไฟเบอร์ที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ระบบแอโรไดนามิกที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และช่วงล่างแบบแอคทีฟที่ถ่ายทอด DNA ของรถแข่งอย่างแท้จริง
การออกแบบภายนอก: ศิลปะแห่งอากาศพลศาสตร์และความเร้าใจ
การออกแบบของ Ferrari F80 ถือเป็นการประกาศ “ภาษาการออกแบบยุคใหม่” ของ Ferrari อย่างแท้จริง ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni และทีม Ferrari Styling Centre พวกเขาได้สร้างสรรค์ผลงานที่เชื่อมโยงระหว่างดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ในอดีตกับวิสัยทัศน์แห่งอนาคต โดยมี “สุนทรียศาสตร์ของรถแข่งฟอร์มูลาวัน” เป็นหัวใจหลักในการสร้างสรรค์
จากมุมมองแรก คุณจะสัมผัสได้ถึงความดุดันและเส้นสายที่พริ้วไหวราวกับประติมากรรมที่มีชีวิต แม้ F80 จะเป็นรถยนต์แบบ 2 ที่นั่ง แต่การออกแบบค็อกพิตและสัดส่วนโดยรวมกลับมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ใกล้เคียงกับรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยวอย่างเต็มพิกัด ทุกสรีระ ส่วนโค้งเว้า และช่องเปิดปิด ล้วนถูกคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์อย่างสูงสุด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถคันนี้จะไร้ที่ติในทุกมิติ
ลองพิจารณาไฟหน้า: แทนที่จะเป็นชุดไฟขนาดใหญ่ F80 ซ่อนไฟส่องสว่างไว้หลังแถบสีดำบางเฉียบ ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งช่องอากาศและชุดไฟไปพร้อมๆ กัน นี่คือการผสานฟังก์ชันเข้ากับความงามได้อย่างลงตัว สร้างรูปโฉมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและจดจำได้ทันที ส่วนท้ายของรถที่สั้นกะทัดรัดแต่เต็มไปด้วยมิติอันซับซ้อนนั้น แสดงมุมมองที่แตกต่างกันสองรูปแบบขึ้นอยู่กับการใช้งาน ด้วยปีกหลังที่สามารถเก็บซ่อนและยกตัวขึ้นได้ตามความเร็วและสถานการณ์ ไฟท้ายถูกติดตั้งอยู่ในโครงสร้างแบบสองชั้นซึ่งประกอบไปด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์แบบประกบที่ส่งให้มุมมองด้านท้ายดูโฉบเฉี่ยวและทรงพลังสูงสุด ไม่ว่าปีกหลังจะอยู่ในตำแหน่งใด
เมื่อสปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้น รถจะดูมีพลังและคล่องตัวมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การออกแบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเป็นการเพิ่มแรงกด (downforce) ที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างแม่นยำและมั่นคง หนึ่งในองค์ประกอบที่โดดเด่นและใช้งานได้จริงคือช่อง NACA ducts ที่ส่งกระแสลมไปยังช่องรับอากาศของเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่และบ่งบอกถึงประสิทธิภาพขั้นสูง
อีกฟังก์ชันที่มีอัตลักษณ์สำคัญคือครีบระบายอากาศที่ส่วนหลังของห้องเครื่อง ซึ่งมีช่องทั้งหมด 6 ช่อง สำหรับแต่ละกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน สร้างความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างเส้นสายเรขาคณิตกับพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถังรถ นี่คือการออกแบบที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงาม แต่ยังเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของเทคโนโลยีอันซับซ้อนที่อยู่ภายใต้ความงดงามนั้น
ภายในห้องโดยสาร: ค็อกพิตของนักแข่งที่โอบล้อมคุณ
ก้าวเข้าสู่ภายในของ Ferrari F80 คุณจะรู้สึกราวกับกำลังก้าวเข้าสู่รถแข่ง Formula 1 ที่มีหลังคาปิด การออกแบบค็อกพิตได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยวอย่างเต็มเปี่ยม แผงควบคุมและมาตรวัดต่างๆ ถูกจัดวางอย่างชาญฉลาดในแนวเดียวกับผู้ขับ เพื่อมอบประสบการณ์การควบคุมที่สมบูรณ์แบบที่สุด การออกแบบเป็นไปตามหลักสรีรศาสตร์อย่างแท้จริง ทุกปุ่ม ทุกสวิตช์ ล้วนอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารทั้ง 2 คน ถูกปรับให้เยื้องกันในแนวยาว ทำให้สามารถปรับเบาะผู้โดยสารให้ถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับ วิธีนี้ช่วยให้ภายในห้องโดยสารมีพื้นที่กะทัดรัด แต่ยังคงไม่กระทบต่อหลักสรีรศาสตร์และความรู้สึกสบาย นี่คือความฉลาดในการออกแบบที่ทำให้รถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงยังคงสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมอบความรู้สึกพิเศษในทุกการเดินทาง
พวงมาลัยแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ F80 คืออีกหนึ่งไฮไลต์ วงพวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย พร้อมส่วนบนและล่างที่ตัดตรง ซึ่งช่วยให้มองเห็นมาตรวัดได้ชัดเจนขึ้นและเน้นความรู้สึกสปอร์ตเมื่อขับขี่ ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับให้จับได้กระชับ ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม และสิ่งที่น่าสนใจคือ Ferrari ได้นำปุ่มควบคุมบนก้านพวงมาลัยแบบดั้งเดิมกลับมาใช้อีกครั้ง แทนที่เลย์เอาต์แบบดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่เคยใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นี่คือการตอบรับเสียงจากนักขับตัวจริงที่ต้องการความรู้สึกสัมผัสที่ชัดเจนและใช้งานง่ายกว่าในการควบคุมฟังก์ชันสำคัญต่างๆ ในขณะที่กำลังใช้ความเร็วสูง การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาของ Ferrari ที่เน้นประสบการณ์ขับขี่เป็นหัวใจสำคัญ
ขุมพลัง V6-Hybrid 3.0 ลิตร: หัวใจที่เต้นรัวด้วยแรงม้า 1,200 ตัว
นี่คือจุดที่ Ferrari F80 สร้างความแตกต่างและประกาศความเหนือชั้นอย่างแท้จริง ภายใต้ฝากระโปรงคือเครื่องยนต์สันดาปภายใน V6 ขนาด 3.0 ลิตร รหัส F163CF ซึ่งสร้างพละกำลังสูงสุดถึง 900 แรงม้า ด้วยอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Ferrari (300 แรงม้า/ลิตร) นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือผลลัพธ์ของการนำเอาเทคโนโลยีสนามแข่งมาปรับใช้ในรถยนต์ที่วิ่งบนถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เครื่องยนต์ V6 ตัวนี้ได้รับการถอดแบบโครงสร้างและองค์ประกอบหลายอย่างมาจากรถแข่ง 499P รวมถึงเสื้อสูบ เลย์เอาท์ ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทม์มิ่ง วงจรทางเดินน้ำมันเครื่อง ประกับข้อเหวี่ยง หัวฉีด และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น นอกจากนี้ยังมีการยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ F80 เป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ซึ่งมีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิดแบบใหม่ ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด จึงใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมถึง 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB ปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่
แต่ความสุดยอดของ F80 ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันคือระบบไฮบริดที่ได้รับการพัฒนาจากประสบการณ์ตรงใน Formula 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาเทคโนโลยี MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) ซึ่งพัฒนาเพิ่มเติมจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในรถแข่ง F1 ของ Ferrari และระบบ MGU-H (Motor Generator Unit – Heat) ซึ่งสร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์อันเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย มารวมเข้ากับชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการกำหนดจังหวะการทำงานของเทอร์โบ
ผลลัพธ์คืออะไร? คือการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไร้ซึ่งอาการ Turbo Lag ที่มักเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์เทอร์โบทั่วไป โดยเฉพาะที่รอบต่ำ ทำให้ทุกการกดคันเร่งเป็นไปอย่างฉับไวและทรงพลัง เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เครื่องยนต์จึงถูกติดตั้งให้ใกล้กับใต้ท้องรถมากที่สุด เพื่อยกชุดเกียร์ขึ้น ไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงาน Ferrari ในมาราเนลโลทั้งหมด โดยมีเป้าหมายคือการเพิ่มสมรรถนะสูงสุดและลดน้ำหนักลง การออกแบบของมอเตอร์ทั้งหมด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลังของรถ) ร่างขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Ferrari ในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach ซึ่งช่วยเพิ่มพละกำลังได้อีก 300 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ Ferrari F80 สามารถผลิตพละกำลังรวมสูงสุดที่ 1,200 แรงม้า นี่คือตัวเลขที่น่าทึ่ง และเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ F80 กลายเป็นซูเปอร์คาร์ที่เร็วและทรงพลังที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยสร้างมาสำหรับ Road Car
สมรรถนะที่ปลุกเร้าทุกโสตประสาท: ตัวเลขที่ไม่เคยโกหก
เมื่อพละกำลัง 1,200 แรงม้า มารวมกับระบบขับเคลื่อน 4WD และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ผลลัพธ์ที่ได้คือสมรรถนะที่เหลือเชื่อ:
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม. (จำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ความรู้สึกของความเร็วระดับนี้คือการเดินทางข้ามมิติ)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที นี่คือตัวเลขที่ท้าทายฟิสิกส์ และทำให้ F80 อยู่ในกลุ่มของซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดในโลก
อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงความสามารถในการส่งกำลังอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
หัวใจของระบบขับเคลื่อนคือเกียร์ 8 จังหวะคลัตช์คู่ F1 DCT ที่ทำงานได้อย่างราบรื่นและฉับไว มอบประสบการณ์การเปลี่ยนเกียร์ที่ไร้รอยต่อราวกับอยู่ในสนามแข่งจริง ทุกชิ้นส่วนถูกออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่แบตเตอรี่แรงดันสูง 860 โวลต์ ที่ให้พลังงานสูงสุด 242 กิโลวัตต์ ไปจนถึงน้ำหนักรถเปล่า 1,525 กก. ทำให้มีอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังที่ 1.27 กก./แรงม้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งและบ่งบอกถึงความสามารถในการพุ่งทะยานได้อย่างยอดเยี่ยม
มิติและรายละเอียดที่สมบูรณ์แบบ
มิติของ F80 ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อความลงตัวระหว่างความสง่างามและความดุดัน ด้วยความยาว 4,840 มม. ความกว้าง 2,060 มม. และความสูงเพียง 1,138 มม. ทำให้ F80 ดูเตี้ย ลู่ลม และพร้อมที่จะทะยานไปข้างหน้าเสมอ ฐานล้อยาว 2,665 มม. ช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ในขณะที่ฐานล้อหน้าและหลังที่กว้าง (1,701 มม. และ 1,660 มม. ตามลำดับ) ช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง
ยาง Pirelli P Zero Corsa ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ F80 โดยเฉพาะ ด้วยขนาด 285/30 R20 ที่ล้อหน้า และ 345/30 R21 ที่ล้อหลัง ยิ่งตอกย้ำถึงการยึดเกาะถนนที่เหนือชั้น และพร้อมรับมือกับพละกำลังมหาศาลที่ถูกส่งลงพื้น นี่คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมกันสร้างประสบการณ์ขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
Ferrari F80: มากกว่ายานพาหนะ คือการลงทุนในอนาคต
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า Ferrari F80 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ซูเปอร์คาร์ แต่คือการลงทุนในชิ้นงานศิลปะแห่งวิศวกรรมที่หาได้ยากยิ่ง จำนวนการผลิตที่จำกัด ความต้องการที่สูงมาก และเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ F80 มีศักยภาพในการเป็น “รถสะสม” ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
มันคือยานยนต์ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ Ferrari ในการก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งจิตวิญญาณและความเร้าใจที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รักของคนทั่วโลก F80 คือปฐมบทแห่งดีไซน์ยุคใหม่ของ Ferrari ด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์สุดขั้ว สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากการนำดีไซน์จากยานอวกาศมาใช้เพื่อเน้นย้ำให้เห็นเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานไว้ในสายเลือดเช่นเดิม
F80 คือบทสรุปของความกล้าหาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ถนน และความหลงใหลในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้น นี่คือซูเปอร์คาร์ที่จะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในทศวรรษหน้า และจะยังคงเป็นที่กล่าวขวัญถึงในฐานะตำนานแห่งความเร็วและนวัตกรรมไปอีกนานแสนนาน หากคุณคือหนึ่งในผู้โชคดี 799 คนที่ได้ครอบครอง F80 คุณไม่ได้เป็นเจ้าของแค่รถยนต์ แต่เป็นเจ้าของประวัติศาสตร์ที่กำลังถูกจารึกขึ้น ณ บัดนี้.
