เฟอร์รารี่ F80: เมื่อมรดกผสานอนาคต – บทวิเคราะห์ขีดสุดแห่งสมรรถนะและนวัตกรรมยานยนต์ปี 2025
ในโลกแห่งยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่ก้าวข้ามขีดจำกัดอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีชื่อใดยิ่งใหญ่และสร้างความปรารถนาได้เทียบเท่า “เฟอร์รารี่” แบรนด์ม้าลำพองจากมาราเนลโลได้มอบตำนานบทใหม่ที่สั่นสะเทือนวงการอีกครั้งกับ Ferrari F80 สุดยอดไฮเปอร์คาร์ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะ แต่คือสัญลักษณ์แห่งวิศวกรรมขั้นสูงสุด ผสานมรดกอันรุ่งโรจน์เข้ากับเทคโนโลยีล้ำยุคอย่างลงตัว ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์สมรรถนะสูงที่มีประสบการณ์กว่าทศวรรษ ผมขอพาทุกท่านเจาะลึกถึงทุกแง่มุมของ F80 ซึ่งปัจจุบันในปี 2025 นี้ ได้กลายเป็นหนึ่งในโมเดลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่ไปแล้ว
ตำนานบทใหม่ที่ถักทอจากอดีต สู่ปัจจุบัน และอนาคต
การปรากฏตัวของ Ferrari F80 ได้รับการจับตาตั้งแต่เริ่มแรก และเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มันก็ถูกจัดวางให้เป็นผู้สืบทอดสายเลือดซูเปอร์คาร์ระดับตำนานเคียงคู่กับรุ่นพี่ผู้ยิ่งใหญ่หลายต่อหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น 288 GTO ในปี 1984, F40 ที่โด่งดังในปี 1987, F50 ในปี 1995, Enzo Ferrari ในปี 2002, ไปจนถึง LaFerrari Aperta ในปี 2016 ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ และ F80 ก็ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อสานต่อภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ด้วยจำนวนการผลิตที่จำกัดเพียง 799 คันทั่วโลก และในจำนวนนี้มีเพียง 4 คันเท่านั้นที่ถูกจัดสรรมายังประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดถูกจับจองจนหมดเกลี้ยงก่อนการส่งมอบอย่างเป็นทางการสะท้อนถึงความต้องการอันมหาศาลและความน่าหลงใหลของรถคันนี้
จุดเด่นของ F80 ไม่ได้อยู่แค่เพียงสถานะการเป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นเท่านั้น แต่คือการรวบรวมสุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่เฟอร์รารี่สั่งสมมาจากการแข่งขันระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Formula 1 หรือ World Endurance Championship (WEC) มาไว้ในรถคันเดียว สิ่งนี้ทำให้ F80 สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ ความล้ำสมัย และความเลิศล้ำทางวิศวกรรม ที่ยากจะมีใครทัดเทียมในยุคปัจจุบัน
การสืบทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง สู่ถนนจริง
ประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่คือประวัติศาสตร์แห่งการแข่งขัน และเทคโนโลยีที่ใช้ในสนามแข่งมักถูกนำมาพัฒนาต่อยอดสู่รถยนต์ Road Car เสมอ F80 คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรัชญานี้ ย้อนกลับไปในยุค 1980 เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคือหัวใจสำคัญของรถแข่ง Formula 1 ของเฟอร์รารี่ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับขุมพลังของซูเปอร์คาร์อย่าง GTO และ F40 แต่ในปัจจุบัน โลกของการแข่งขันได้ก้าวข้ามไปอีกขั้น ทั้งรถแข่ง Formula 1 และ WEC ต่างหันมาใช้เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบผสานกับระบบไฮบริด 800 โวลต์ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในรถแข่ง 499P ผู้พิชิตรายการ 24 Hours of Le Mans สองสมัยซ้อน
ด้วยเหตุนี้เอง การที่ F80 ได้รับการถ่ายทอดนวัตกรรมเครื่องยนต์ V6-Hybrid ขนาด 3.0 ลิตรนี้มา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ตรงกันข้าม มันคือตรรกะที่สมบูรณ์แบบในการนำเทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วในสนามแข่งจริง มายกระดับขีดความสามารถของรถยนต์สำหรับถนนหลวง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เน้นย้ำถึง DNA ของ รถยนต์สมรรถนะสูง ที่ฝังรากลึกในเฟอร์รารี่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพและวิศวกรรมอย่างต่อเนื่อง
การออกแบบภายนอก: ศิลปะแห่งอากาศพลศาสตร์และความสง่างาม
งานออกแบบของ Ferrari F80 คือผลงานชิ้นเอกที่สร้างสรรค์โดยทีม Ferrari Styling Centre ภายใต้การนำของ Flavio Manzoni ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถหลอมรวมเส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ของเฟอร์รารี่จากอดีตเข้ากับวิสัยทัศน์แห่งอนาคตได้อย่างน่าทึ่ง การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้งจากสุนทรียศาสตร์ของรถแข่ง Formula 1 โดยมุ่งเน้นไปที่หลักอากาศพลศาสตร์เป็นอันดับแรก แต่ยังคงไม่ทิ้งความสง่างามและความน่าหลงใหลอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ แม้ F80 จะเป็นรถยนต์สองที่นั่ง แต่การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ล้วนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในรถแข่งที่นั่งเดี่ยวอย่างเต็มพิกัด
ส่วนหน้าอันเป็นเอกลักษณ์: ไฟหน้าที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้แถบสีดำบางเฉียบไม่ได้ทำหน้าที่เพียงส่องสว่างเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ สร้างรูปโฉมด้านหน้าที่เฉียบคมและจดจำได้ทันที แผ่นบังนี้ผสานรวมกับส่วนโค้งเว้าของตัวถัง ให้ความรู้สึกถึงความลื่นไหลและประสิทธิภาพสูงสุด
ท้ายรถที่ทรงพลังและปรับเปลี่ยนได้: ส่วนท้ายที่สั้นกะทัดรัดของ F80 เป็นงานศิลปะที่มีฟังก์ชันการใช้งานสูง ด้วยปีกหลังที่สามารถเก็บซ่อนและยกตัวขึ้นได้ตามความเร็วและโหมดการขับขี่ มอบมุมมองที่แตกต่างกันสองแบบ ไฟท้ายที่ติดตั้งอยู่ในโครงสร้างสองชั้น ซึ่งประกอบด้วยแผงไฟท้ายและสปอยเลอร์ สร้างเอฟเฟกต์แบบประกบที่ทำให้ส่วนท้ายดูโฉบเฉี่ยวอย่างสุดขั้ว ไม่ว่าปีกหลังจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม เมื่อสปอยเลอร์หลังยกตัวขึ้น รถจะดูมีพลังและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เน้นย้ำถึง ระบบแอโรไดนามิก ที่ซับซ้อนและปรับเปลี่ยนได้
ช่องดักอากาศและครีบระบายอากาศ: ช่องดักอากาศแบบ NACA ที่ส่งกระแสลมไปยังเครื่องยนต์และหม้อน้ำด้านข้าง ไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบที่ใช้งานได้จริง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ ดีไซน์รถยนต์หรู ที่โดดเด่นและแปลกใหม่ของ F80 อีกด้วย นอกจากนี้ ครีบระบายอากาศ 6 ช่องที่ส่วนหลังของห้องเครื่องยนต์ ซึ่งสอดรับกับจำนวนกระบอกสูบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน สร้างความสัมพันธ์อันน่าทึ่งระหว่างรูปทรงเรขาคณิตและพื้นผิวเชิงประติมากรรมของตัวถัง สะท้อนความพิถีพิถันในการออกแบบที่ผสานความงามเข้ากับวิศวกรรมอย่างลงตัว
ห้องโดยสาร: ค็อกพิตที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F1 เพื่อประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้น
ภายในห้องโดยสารของ F80 คือการผสมผสานระหว่างความหรูหราแบบเฟอร์รารี่กับสุนทรียศาสตร์ของรถแข่ง Formula 1 อย่างแท้จริง สัดส่วนของห้องโดยสารถูกกำหนดจากการใช้ค็อกพิตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งแบบที่นั่งเดี่ยว ให้ภาพลักษณ์คล้ายกับรถแข่ง F1 แต่มาพร้อมหลังคาปิด มอบความรู้สึกของการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวระหว่างผู้ขับกับรถ ค็อกพิตถูกออกแบบมาเพื่อโอบล้อมแผงควบคุมและมาตรวัดต่างๆ ซึ่งจัดวางอยู่ในแนวเดียวกับผู้ขับขี่อย่างสมบูรณ์แบบตามหลักสรีรศาสตร์
ตำแหน่งเบาะนั่งแบบ 1+1: หนึ่งในนวัตกรรมภายในที่น่าสนใจคือการจัดวางเบาะที่นั่งของผู้โดยสารทั้งสองคนให้เยื้องกันในแนวยาว ทำให้เบาะผู้โดยสารสามารถเลื่อนถอยหลังได้มากกว่าเบาะผู้ขับ สิ่งนี้ช่วยให้ห้องโดยสารมีพื้นที่กะทัดรัดแต่ยังคงรักษาหลักสรีรศาสตร์และความสะดวกสบายไว้ได้อย่างครบถ้วน และยังช่วยให้ดีไซเนอร์สามารถลดหน้าตัดด้านหน้าของรถ ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์โดยรวม
พวงมาลัยแห่งอนาคต: F80 มาพร้อมพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ และคาดว่าจะถูกนำไปใช้ใน Road Car รุ่นอื่นๆ ของเฟอร์รารี่ในอนาคต พวงมาลัยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นทั่วไปเล็กน้อย พร้อมส่วนบนและล่างที่ตัดตรง เพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นและเน้นความรู้สึกสปอร์ตเมื่อขับขี่ ด้านข้างของพวงมาลัยได้รับการปรับปรุงให้จับกระชับมือยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะสวมถุงมือหรือไม่ก็ตาม
การกลับมาของปุ่มควบคุมแบบกายภาพ: สิ่งที่น่าสนใจคือการนำปุ่มควบคุมแบบกายภาพบนก้านพวงมาลัยกลับมาใช้ แทนที่เลย์เอาต์ดิจิทัลระบบสัมผัสทั้งหมดที่เฟอร์รารี่เคยใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้สะท้อนความเข้าใจที่ว่าปุ่มกดแบบดั้งเดิมนั้นใช้งานง่ายกว่า และสามารถระบุฟังก์ชันได้ทันทีด้วยการสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่ ซูเปอร์คาร์ไฮบริด ที่มีประสิทธิภาพสูง
ขุมพลัง V6-Hybrid 3.0 ลิตร: หัวใจแห่งสมรรถนะอันไร้เทียมทาน
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Ferrari F80 เป็นสุดยอด นวัตกรรมยานยนต์ แห่งยุคคือขุมพลังเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร รหัส F163CF ที่ผสานกับระบบไฮบริดอันล้ำสมัย เครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียวสามารถผลิตกำลังสูงสุดถึง 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเฟอร์รารี่ ด้วยตัวเลข 300 แรงม้า/ลิตร นี่คือการก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมของมาราเนลโล
แรงบันดาลใจจาก 499P: เครื่องยนต์นี้ถอดแบบโครงสร้างและองค์ประกอบหลายส่วนมาจากรถแข่ง 499P ที่คว้าชัยชนะใน Le Mans เช่น เสื้อสูบ, เลย์เอาต์, ชุดโซ่ส่งกำลังของระบบไทมิ่ง, วงจรทางเดินน้ำมันเครื่อง, ประกับข้อเหวี่ยง, หัวฉีด และปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของระบบไดเร็คท์อินเจคชั่น นอกจากนี้ยังมีการยกระดับระบบวาล์วแปรผันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบควบคุมการชิงจุดระเบิดใหม่: F80 เป็น Road Car คันแรกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่มีระบบควบคุมการชิงจุดระเบิดแบบใหม่ (new anti-knock control system) ที่สามารถปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานได้แม้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของการชิงจุดระเบิด สิ่งนี้ช่วยให้สามารถใช้กำลังอัดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่น 296 GTB) ปลดปล่อยศักยภาพของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่
เทคโนโลยีไฮบริดจาก Formula 1: F80 ผนวกเอาเทคโนโลยีจาก Formula 1 มาใช้ทั้งระบบ MGU-K (Motor Generator Unit – Kinetic) ที่พัฒนาจากโรงงานเดียวกับที่สร้างมอเตอร์ไฟฟ้าในรถแข่ง F1 ของเฟอร์รารี่ และระบบ MGU-Hs (Motor Generator Unit – Heat) ซึ่งสร้างกำลังจากพลังงานจลน์ที่ได้จากการหมุนของเทอร์ไบน์อันเกิดจากพลังงานความร้อนของก๊าซไอเสีย ร่วมด้วยชุดเทอร์โบไฟฟ้า (e-turbo) ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าควบคุมจังหวะการทำงานของเทอร์โบ ช่วยปรับอากาศเข้าได้อย่างเหมาะสมที่สุด ทำให้ไม่มีอาการ Turbo Lag ที่รอบต่ำ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับ เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ทั่วไป เพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น
การรวมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า: มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ใน F80 ได้รับการพัฒนา ทดสอบ และผลิตขึ้นโดยโรงงานเฟอร์รารี่ในมาราเนลโลทั้งหมด โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสมรรถนะสูงสุดและลดน้ำหนักลง การออกแบบมอเตอร์ทั้งสามชุด (2 ชุดที่ล้อหน้า และ 1 ชุดที่ด้านหลัง) ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ตรงในสนามแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเตเตอร์และโรเตอร์ในแม่เหล็ก Halbach ซึ่งใช้รูปแบบการจัดวางแม่เหล็กที่เฉพาะเจาะจงเพื่อสร้างสนามแม่เหล็กที่แรงขึ้น รวมถึงปลอกแม่เหล็กทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการออกแบบชุด MGU-K ของรถแข่ง F1 มอเตอร์ไฟฟ้าเหล่านี้ช่วยเพิ่มกำลังได้อีก 300 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งหมดจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ F80 สามารถผลิตกำลังรวมสูงสุดที่ 1,200 แรงม้า มอบ สมรรถนะเหนือชั้น อย่างแท้จริง
ช่วงล่างระดับ Formula 1 และระบบขับเคลื่อน 4WD
เพื่อให้สามารถรับมือกับพละกำลังมหาศาล F80 จึงมาพร้อมกับช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับรถแข่ง Formula 1 ผสานกับ ระบบขับเคลื่อน 4WD ที่ล้ำสมัย ซึ่งควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์อย่างแม่นยำเพื่อการยึดเกาะถนนที่ดีที่สุด ระบบกันสะเทือนถูกติดตั้งสปริง 2 ชุด ช่วยลดความแข็งของระบบโดยรวมและช่วยกรองแรงสั่นสะเทือนจากระบบส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แดมเปอร์กันสะบัดยังถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์นี้ เพื่อลดความสั่นสะเทือนจากการบิดตัวของระบบขับเคลื่อนและโหลดที่สูงขึ้นจากพละกำลังที่มากกว่าเดิม
การจัดวางเครื่องยนต์ให้ใกล้กับใต้ท้องรถมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง และยกชุดเกียร์ขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพของชุดแอโรไดนามิกใต้ท้องรถ ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกมิติของการออกแบบ เพื่อให้ F80 ไม่เพียงแต่เร็ว แต่ยังสามารถถ่ายทอดพละกำลังลงสู่พื้นได้อย่างหมดจด และควบคุมได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะบนสนามแข่งหรือบนถนนหลวง
ข้อมูลทางเทคนิค: ตัวเลขที่บอกเล่าความสุดยอด
Ferrari F80 มาพร้อมกับตัวเลขสมรรถนะที่น่าทึ่ง ซึ่งยืนยันสถานะการเป็นไฮเปอร์คาร์ระดับโลก:
เครื่องยนต์: V6 ทำมุม 120 องศา Dry Sump ความจุกระบอกสูบ 2,992 ซีซี
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 900 แรงม้า ที่ 8,750 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 850 นิวตันเมตร ที่ 5,550 รอบ/นาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 9,000 รอบ/นาที (จำกัดสูงสุดที่ 9,200 รอบ/นาที)
ระบบขับเคลื่อนไฮบริด: มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง (MGU-K) 95 แรงม้า (กู้คืนขณะเบรก) / 81 แรงม้า (ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์), แรงบิด 45 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า (แต่ละตัว) 142 แรงม้า, แรงบิด 121 นิวตันเมตร
กำลังรวมสูงสุด: 1,200 แรงม้า
ระบบส่งกำลังและเกียร์: 8 จังหวะ คลัตช์คู่ F1 DCT
ความเร็วสูงสุด: 350 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 2.15 วินาที
อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 5.75 วินาที
แบตเตอรี่แรงดันสูง: 860 โวลต์, พลังงานไฟฟ้า 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง, น้ำหนัก 39.3 กก.
น้ำหนักรถเปล่า: 1,525 กก.
อัตราส่วนน้ำหนักรถเปล่า/กำลัง: 1.27 กก./แรงม้า
ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงแค่บ่งบอกถึงความเร็ว แต่ยังสะท้อนถึงวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมในการจัดการน้ำหนัก การกระจายน้ำหนัก และการดึงพลังงานสูงสุดจากทั้งเครื่องยนต์สันดาปและระบบไฟฟ้า เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
บทสรุป: ผู้บุกเบิกแห่งยุคสมัย
Ferrari F80 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ซูเปอร์คาร์ลิมิเต็ด อีกรุ่นหนึ่ง แต่คือปฐมบทแห่งการออกแบบและวิศวกรรมยุคใหม่ของเฟอร์รารี่ ด้วยภาษาการออกแบบที่เร้าอารมณ์สุดขีด สะท้อนจิตวิญญาณสายเลือดนักแข่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จากการนำดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยานอวกาศมาใช้เพื่อเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีสุดไฮเทคและเทคนิคทางวิศวกรรมอันล้ำหน้า ขณะเดียวกันก็ยังคงสืบสาน DNA ของตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ในสายเลือดเช่นเดิม
ในปี 2025 นี้ Ferrari F80 ได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่คือผลงานศิลปะทางวิศวกรรม ที่สามารถผสานความงดงาม ความเร็ว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มันคือบทสรุปของความมุ่งมั่นของเฟอร์รารี่ในการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับการรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน ที่ทำให้แบรนด์นี้เป็นที่ปรารถนาของคนทั้งโลก และจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไปในอนาคต
	    	
		    
